วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

เมื่อความรักมาสุดทาง

เมื่อความรักมาสุดทาง



" ความรักที่เลวร้าย อาจกลายเป็นรักที่ดีได้หากเราเปิดใจรับสิ่งใหม่ให้กับตัวเอง "


         บทความต่อไปนี้จะพูดถึงประสบการณ์ที่เคยเจอมากับตัวเอง หลายคนเมื่อมีความรัก ก็มักจะทุ่มเทให้กับสิ่งนั้นและไม่ได้นึกถึงอนาคต จึงไม่ได้เผื่อใจไว้ จนวันนึงความรักที่มีอาจจะมาถึงทางตัน ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากสิ่งใดก็ตาม สุดท้ายแล้วมันก็สรุปได้แค่สั้นๆว่า 

.............................  เส้นทางแห่งรัก ที่มาถึงทางตัน  " มันทำให้คุณเสียใจ " ...................................




         ความเสียใจเมื่อมันได้เกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะยอมรับ หลายคนที่ผิดหวังในรักก็จมปลักและทำร้ายตัวเองเพียงเพราะเสียคนที่รักไป แต่ถ้าคิดในทางกลับกัน เราต้องดีใจสิ ที่เราได้หัวใจเราคืน  อยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามอิสระ ดีกว่าไปทนอยู่กับคนที่เค้าไม่ได้จริงจังอะไรกับเรา ดีแต่ทำให้เราเสียใจ ซึ่งคนที่ควรจะเสียใจทีหลังก็คือเค้า เพราะเค้า " ได้สูญเสียคนที่รักเค้าที่สุดไปแล้ว " 

        ความรักที่มันจบลง ย่อมเกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครที่จะอยู่กับความทุกข์นั้นไปตลอด สักวันหนึ่งเวลาจะสอนเรา จะทำให้เรามีจิตใจที่เข้มแข็ง มันอาจจะต้องใช้ระยะเวลาที่นาน แต่สุดท้าย... มันก็จะผ่านไปได้ด้วยดี 




....Mayris[A]

ประโยชน์ของเบียร์

          


ประโยชน์ของเบียร์


       สำหรับ คอเบียร์คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์ เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น




  • ป้องกันโรคหัวใจ จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน


  • ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต



  • ช่วยลดความดันโลหิต แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้



  • ป้องกันเบาหวาน ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดี นักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์



  • ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น



  • ช่วยให้อายุยืน จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ



  • ป้องกันท้องร่วง โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย



  • ต้านความเครียด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์



  • ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%



  • ป้องกันโรคนอนไม่หลับ สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ



  • ช่วยต้านมะเร็ง เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง



  • ช่วยให้ผิวสวย ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม

ดอกไม้ทายนิสัย

ดอกไม้ทายนิสัย

  • ดอกกุหลาบ
เริ่มต้นกันที่ดอกกุหลาบก่อนเลย ในฐานะที่ได้รับการยกย่องให้เป็นราชินีของดอกไม้ทั้งมวล แถมยังถูกนำมาใช้เป็นดอกไม้เพื่อแสดงความรักอีกด้วย เริ่ดซะไม่มี คนที่ชอบดอกกุหลาบนั้น ออกจะรักสวยรักงามมากสักหน่อย ชอบชีวิตที่หรูหราโอ่อ่า สะดวกสบาย หรือการเป็นคนเด่นดังมีชื่อเสียง ไปไหนมาไหนคนรู้จักไปหมด นอกจากนี้ยังเป็นคนที่กระตือรือร้น ใฝ่รู้ ชอบแสวงหาประสบการณ์ดีๆ ให้กับชีวิของตนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
  • ดอกทานตะวัน
คนที่ชอบดอกทานตะวัน จะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมาก และถือดีในความรู้ความสามารถของตัวไม่น้อย ชอบพึ่งพาลำแข้งของตัวเองมากกว่าไปงอนง้อขอใครกิน ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ชอบตั้งเป้าหมายชีวิตเอาไว้สูงๆ แต่ความเป็นคนเก่ง สนใจใคร่รู้ รวมทั้งขยันขันแข็ง ก็ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจได้ไม่ยาก นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีใจคอกว้างขวาง มีเพื่อนฝูงมากมาย และชอบเข้าสังคม แต่จะเป็นคนที่ไม่แคร์ใครนัก
  • ดอกมะลิ
สำหรับคนที่ชอบดอกมะลิ ดอกไม้ไทยสีขาวที่มีกลิ่นหอมละมุนละไมนี้ อุปนิสัยมักเป็นคนเรียบร้อย อ่อนโยน ค่อนข้างจะจู้จี้จุกจิกอยู่สักหน่อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะความเป็นคนเจ้าระเบียบที่ชอบความเรียบร้อยงดงามนั่นเอง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความรู้สึกอ่อนไหวมาก จะรู้สึกไวว่าใครคิดเช่นไรกับตน และเป็นคนคิดมาก ช่างวิตกกังวลไปกับคำพูดคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นผู้ที่ชอบชีวิตเรียบง่าย รักสงบ และเป็นตัวของตัวเองดีทีเดียว
  • ดอกเบญจมาศ
คนที่ชอบดอกเบญจมาศ เป็นคนที่ชอบความเรียบง่าย ธรรมดาๆ ชอบใช้ชีวิตในการทำงาน เข้ากับคนง่าย ผูกมิตรกับคนเก่ง ช่างเจรจา เพราะไม่มีบุคลิกถือตัว ไม่ใช่คนที่มีเสน่ห์โดดเด่นอะไรนักกับเพศตรงข้าม และไม่ค่อยสนใจในเรื่องเหล่านี้ รักง่ายลืมง่ายว่างั้นเถอะ แต่จะไปให้ความสำคัญในการศึกษาหาความรู้ แสวงหาประสบการณ์ให้ชีวิตมากกว่า เป็นคนขยัน ชอบการทำงาน แต่ว่าต้องเป็นงานที่ไม่มีความซ้ำซากจำเจจนเกินไป
  • ดอกกล้วยไม้
คนที่ชอบดอกกล้วยไม้จะเป็นคนที่อ่อนโยน นิ่มนวล โรแมนติกมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่มีความอดทนหนักแน่นอยู่ในตนเองด้วยเหมือนกัน นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ชอบชีวิตเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่จะชอบการค่อยๆเปลี่ยนแปลงเพื่อไปสิ่งที่ดีกว่า โดยผ่านการคิดหน้าคิดหลังรอบคอบมาแล้ว เป็นคนที่ตัดสินใจเก่งและชอบแก้ปัญหาด้วยการประนีประนอม
  • ดอกบัว
สำหรับคนที่ชอบดอกบัว มักเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แถมยังเต็มไปด้วยความเมตตาปราณี ไม่รู้จักโกรธเกลียดใครหรอก ไม่ว่าใครจะมายังไงก็ดีกับเขาไปหมด มีอารมณ์และความรู้สึกอันละเอียดอ่อนที่ดึงดูดให้คนเข้ามาหามาพึ่งพาทางด้านจิตใจ เป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น ได้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย แม้ว่าจะรักความสงบสักแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ยังเป็นคนที่รักครอบครัวมากอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
  • ดอกหญ้า
สำหรับคนที่ชอบดอกหญ้าเล็กๆ ตามริมทาง ไม่ว่าจะเป็นดอกอะไรก็ตาม นิสัยมักเป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบผูกพันหรือมีพันธะกับใคร แม้แต่คนในครอบครัวตัวเองก็ตาม ชอบใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เดินทางไปนั่นมานี่เพื่อแสวงหาประสบการณ์ชีวิต เพราะความเป็นคนที่ชอบศึกษาและเรียนรู้เอามากๆ นั่นเอง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ให้ค่าความสำคัญต่อเรื่องความซื่อสัตย์และคุณธรรมความดีเป็นอย่างยิ่ง จะทนไม่ได้เลยหากโดนโกหกหลอกลวง
  • ดอกทิวลิป
คนที่ชอบดอกทิวลิปมักมีนิสัยช่างคิดช่างฝัน เต็มไปด้วยจินตนาการที่ลื่นไหลไม่ยอมหยุด ทั้งยังมากด้วยอารมณ์อันโรแมนติกเต็มเปี่ยมในหัวใจ หลงรักคนง่าย แต่ก็จะเปลี่ยนใจง่ายเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี มักช่วยเหลือคนอื่นอย่างเต็มอกเต็มใจเสมอ เป็นที่พึ่งพิงของคนที่มีความทุกข์ได้อย่างวิเศษ แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนที่มีความขัดแย้งในตัวเองมาก ไม่ค่อยชอบให้ใครเข้ามายุ่งในเรื่องส่วนตัว
  • ดอกราชพฤกษ์
คนที่ชอบดอกราชพฤกษ์หรือดอกคูน ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติไทยเรานั้น มักเป็นนักมนุษยธรรม เป็นคนใจบุญ ใจกว้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับทุกๆ คน ชอบความเท่าเทียม และต้องการเห็นคนทุกคนเสมอภาคกัน นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้า รักอิสระ และจะไม่ยอมให้กฎเกณฑ์ใดๆ เข้ามามีอิทธิพลในชีวิต เป็นคนชอบศึกษาหาความรู้ มีเพื่อนมาก และรักเพื่อนฝูงเท่าเทียมกันทุกคน มีความเป็นผู้นำทางความคิดในสังคม
  • ดอกบานไม่รู้โรย
คนที่ชอบดอกบานไม่รู้โรยจะเป็นคนเงียบๆ ดูธรรมดา แต่จะมีความเยือกเย็น หนักแน่น เอาจริงเอาจัง และค่อนข้างจะถือตัวอยู่สักหน่อย ไม่ชอบให้ใครมาพูดเล่นด้วยเรื่อยเปื่อย ดูเหมือนเป็นคนเย็นชา ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จึงไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าใกล้นัก อย่างมากก็มองดูด้วยความชื่นชมอยู่ห่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ไม่ชอบชีวิตที่ตื่นเต้นโลดโผน แต่ต้องการความหนักแน่นที่ต่อเนื่องมั่นคง และเสมอต้นเสมอปลายมากกว่า
  • ดอกซ่อนกลิ่น
มาถึงคนที่ชอบดอกซ่อนกลิ่นกันบ้าง แม้ว่าบางคนอาจจะถือเป็นดอกไม้ที่ไม่นิยมนำมาประดับบ้านในเวลาปกติก็ตาม แต่ก็มีคนชอบไม่น้อยเลยทีเดียว นิสัยของคนที่ชอบดอกซ่อนกลิ่นนี้ดูผิวเผิน อาจจะคิดว่าเป็นคนง่ายๆ แต่ถ้าได้คบหาจะพบว่า เป็นคนที่มีความลึกซึ้งมาก ทั้งยังเป็นคนที่เชื่อมั่นและหยิ่งทะนงในตัวเองอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ชอบเก็บความรู้สึก มักไม่มีใครรู้ว่าคิดอะไรอยู่ และยังไม่ใช่คนที่เปิดเผยตัวให้ใครเข้ามารู้จักง่ายๆ ถ้าไม่มีความคิดลึกซึ้งเพียงพอ
  • ดอกเฟื่องฟ้า
สำหรับคนที่ชอบดอกเฟื่องฟ้าที่เป็นดอกไม้ธรรมดา แถมยังดูออกไปทางเชยๆ อีกต่างหาก มักเป็นคนที่มีความเป็นกันเอง ชอบแสวงหาเพื่อน หรือหยิบยื่นมิตรภาพให้ใครต่อใครเสมอ ชอบดูแลช่วยเหลือคนอื่นด้วยจิตใจที่ปรารถนาดีเต็มเปี่ยม ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่เปราะบาง เจ็บปวดง่าย แต่จะไม่ใช่คนฟูมฟาย หรือต้องการให้ใครมาปลอบโยน เป็นคนที่มีความอดทนเป็นเลิศพอๆ กับความอ่อนไหว ปรวนแปรในจิตใจ

Cocktail & Mocktail



ค็อกเทล

ค็อกเทล หมายถึง เครื่องดื่มที่ใช้เหล้าชนิดหนึ่ง เป็นเครื่องปรุงหลักแล้วปรุงแต่งกลิ่น และรสให้ชวนดื่มยิ่งขึ้น ด้วยการผสมเครื่องดื่มอื่นๆ ที่มีกลิ่นและรสแตกต่างกัน

ตามปกติแล้วค็อกเทลทุกตำรับ จะมีเหล้าอยู่ประมาณ 60 % หรือน้อยที่สุดจะต้องมี ไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ของเครื่องปรุงทั้งหมด

เหล้าที่นิยมใช้ผสมค็อกเทล อาจจะใช้ยิน, วิสกี้,วิสกี้,วอดก้า, บรั่นดี และอื่น ๆ เมื่อผสมเครื่องปรุงเข้าด้วยกันแล้ว บางตำรับก็เพียงคนพอเข้ากัน บางตำรับก็ต้องเขย่าอย่าแรงกับน้ำแข็ง ค็อกเทลที่ผสมแล้วนิยมเสิร์ฟเย็นจัดในแก้วค็อกเทล




Mocktail 
Mocktail คือ เครื่องดื่มที่ผสมจากน้ำผลไม้ โซดา หรือส่วนผสมอย่างอื่น แต่ไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนใหญ่แล้วจะเสิร์ฟในแก้วใบสวยแต่งด้วยเชอร์รี่ หรือมะนาวฝาน  และคำว่า mock (adj.) ในภาษาอังกฤษมีความหมายว่า ‘เลียนแบบ’ อยู่แล้วด้วย คำๆ นี้จึงผสมขึ้นมาอย่างลงตัวทีเดียว

นิทาน บ้านขนมปัง

นิทาน ฮันเซลและเกรเทล (บ้านขนมปัง)
ฮันเซลและเกรเทลเป็นนิทานพื้นบ้านของทางทวีบยุโรบซึ่งสองพี่น้องตระกูลกริมม์นำ เรื่องมารวบรวมไว้ให้ได้อ่านกัน ในเนื้อเรื่องนั้นเล่าถึงความรัก,ความสามัคคี การช่วยเหลือซึ่งกันและกันของสองพี่น้องที่ได้เกิดมาในครอบครัวของคนที่ยาก จน อย่างช่วยไม่ได้เป็นนิทานที่ออกไปในแนวที่น่าสะเทือนใจอยู่เหมือนกันนะคะ




ที่ๆ ใกล้ ๆกับขอบหน้าผาที่ในป่าแห่งหนึ่ง มีครอบครัวของคนตัดไม้ที่ยากจนมาก อาศัยอยู่ ในทุก ๆวันผู้เป็นพ่อจะออกไปตัดไม้ที่ในป่า และจะนำเอาไม้เหล่านั้น ไปขายที่ในเมือง ส่วนลูก ๆของเขาซึ่งก็มีลูกชายคนโตชื่อฮันเซลกับลูกสาวคนเล็กชื่อเกรเทล ก็จะคอยช่วยเหลือแม่ของตนทำงานอยู่ที่บ้านด้วยความขยันขันแข็ง แต่แล้วอยู่ต่อมาไม่นาน ในวันหนึ่งแม่ของพวกเขาก็มีอันต้องเจ็บป่วยและได้ตายลงไป

พ่อได้พาภรรยาคนใหม่เข้ามาที่บ้าน และได้บอกว่า” ต่อแต่นี้ไปพวกเราจะได้อยู่กับแม่คนใหม่ โดยไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไป..” ฮัน เซลกับเกรเทล ต้องทำงานอย่างหนักตามคำสั่งของแม่คนใหม่ ของพวกเขา แต่ถึงกระนั้นแม่เลี้ยงก็ไม่ค่อยที่จะใจดีกับเด็กทั้งสอง ด้วยนางเป็นผู้หญิงที่ใจร้าย ยิ่งไปกว่านั้นยังจะคอยดุด่าว่าพวกเขาอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย


เมื่อเวลาที่พ่อออกไปทำงานแล้ว แม่เลี้ยงก็จะออกคำสั่งให้สองพี่น้องทำงาน ทุกอย่างในบ้านกันอย่างตัวเป็นเกลียว ส่วนตัวนางเองนั้นจะหนีเข้าไปหาที่หลับนอน อยู่อย่างสุขสบายโดยไม่คิดที่จะทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่เมื่อถึงเวลาที่พ่อได้กลับมาถึงที่ บ้าน นางก็จะพูดโกหกบอกกับพ่อว่า ” เด็กทั้งสองคน…เอาแต่เล่นและไม่ยอมช่วย เหลือทำงานอะไรเลยสักอย่างเดียว…”



อยู่ต่อมาในปีหนึ่ง ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่แห้งแล้งมากฝนก็ไม่ตก ข้าวสาลีและ พืชผักที่มีในทุ่งนาก็มีอันต้องเหี่ยวแห้งลงไปจนเกือบจะทั้งหมด อาหารเหลือน้อยลง ดังนั้นที่บ้านของคนตัดไม้ที่มีอยู่ตั้งสี่คน ก็เช่นกัน ถ้าไม่มีมาตรการและทำอะไรลงไปสักอย่าง ทุกคนจะต้องหิวโหยและอาจ ตายลงไปได้
” เธอคิดที่จะทำอย่างไร??เรากำลังจะไม่มีอาหารอะไรเหลือ เพียงพอให้สำหรับพวกเด็ก ๆแล้วนะ ”


แม่เลี้ยงจึงพูดว่า ” ถ้าเป็นอย่างนั้น ในวันพรุ่งนี้แกก็ต้องพาเด็กทั้งสองเข้าไป ที่ในป่าลึก แล้วปล่อยพวกเขาไว้ที่นั่น เท่านั้นเองเป็นทางเลือกที่จะช่วยเหลือเราทั้งสอง ไว้ได้โดยไม่ต้องอดตายตามไปเสียด้วย ” พ่อตกใจมากและได้รีบตอบปฏิเสธในทันที “ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เด็ก ๆ จะต้องตายลงไปอย่างแน่นอน..ถ้าขืนเราทำแบบนั้น ”



” อ้อ นี่แกว่าถ้าอาหารหมดลง แล้วเราทั้งสองคนก็จะต้องมาอดตายตามลงไปด้วย อย่างนั้น มันดีหรือไง?” ในที่สุดพ่อก็จำใจที่จะต้องเห็นตามแม่เลี้ยงไปด้วยอย่างที่ก็ได้นึกตำหนิใน ความคิด ของนาง และในตอนนั้นฮันเซลกับ
เกรเทลก็แอบมาได้ยินพ่อกับแม่เลี้ยงพูดกัน ถึงตน ทั้งสองจากเงามืดที่ตรงประตู….



” พรุ่งนี้เราทั้งสองคนจะต้องโดนเอาไปปล่อยที่ในป่า แล้วก็จะไม่มีทางได้กลับมา ที่นี่อีกแล้ว….” เกรเทลเริ่มร้องไห้ ” อย่ากลัวไปเลย พี่มีแผนการณ์บางอย่าง” และหลังจากนั้น ในทันทีที่ทุกคนหลับไปแล้ว ฮันเซลก็ได้แอบเดินย่อง ออกไปสู่ลานหน้าบ้าน บนพื้นข้างนอกนั้นเกลื่อนไปด้วยก้อนกรวดเล็ก ๆ ฮันเซลโกยก้อนกรวดเหล่านั้นไส่ไว้จนเต็มกระเป๋าของเขา


” เอก อี้ เอ็ก เอก ” เมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ ผู้เป็นแม่เลี้ยงก็เข้ามาปลุกเด็ก ทั้งสอง ” ตื่นขึ้นมาเร็ว ๆ ได้แล้ว” นางเรียก ” พ่อของแกกำลังจะเข้าไป ตัดไม้ที่ในป่า เราจะตามไปกับเขาด้วย ” เกรเทลเริ่มร้องไห้ขึ้นมาอีกอย่างร้อนรนใจ ฮันเซลจึงได้รีบแอบกระซิบปลอบใจน้องว่า ” ไม่ต้องกลัว…ถ้าเราอธิฐาน..พระเจ้าจะ ต้องปกป้องช่วยเราอย่างแน่นอน ”


ฮันเซลและเกรเทล เดินตามพ่อกับแม่เลี้ยงเข้ามาที่ในป่า และในระหว่างทาง ฮันเซลทำท่าเหมือนมองไปที่ด้านหลังอย่างซ้ำ ๆหลายครั้งหลายครา ” นี่ ฮันเซลทำไมเจ้าจะต้องทำท่าหันไปมองที่ด้านหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างนั้นด้วยล่ะ ?” ฮันเซลได้ตอบว่า ” ก็มันเหมือนมีเศษเงินตกอยู่นี่ ” พ่อได้พูดว่า ” นั่นมันไม่ใช่เศษเงินตกอยู่หรอก มันเป็นแค่เพียงเศษก้อนหินที่กระทบกับแสงแดด แล้วทำให้เกิดเป็นแสงขึ้นมาเท่านั้นเอง”


ฮันเซลไม่ได้มองเห็นเศษเงินอย่างที่เขาพูดหรอก เขาเพียง แต่ตั้งใจหันไปแอบโยนเศษก้อนหินทิ้งเอาไว้ หมายทำเป็นเครื่องหมาย ทางขากลับบ้านเท่านั้นเองต่างหาก….และในไม่นานเมื่อทั้งหมดพากันมาถึงที่ ข้างในป่า ลึกแล้ว คนตัดไม้กับแม่เลี้ยงก็ก่อกองไฟขึ้นมากองหนึ่ง และได้พูดโกหกบอก พวกเขาว่าจะเข้าไปตัดไม้ที่อื่น โดยให้เขาทั้งสองนั่งรอและได้พากันหนีกลับไป…


ฮันเซลกับเกรเทลกินขนมปังที่ได้มา ในไม่ช้าเด็กทั้งสองจึงเริ่มง่วง และในที่สุด ก็เคลิ้มหลับไปตรงข้างกองไฟจนถึงเวลากลางคืน เขาทั้งสองด้วยความหนาวจึงรู้สึกตัว และตื่นขึ้นมา ” พี่ นี่เราทั้งสองจะต้องมาตายอยู่ที่ในกลางป่าลึกอย่างเช่นนี้หรือ??” ฮันเซลจึงปลอบน้องว่า “ไม่ต้องกลัว..เชื่อพี่สิน้องรัก.. ”



” เมื่อพระจันทร์ขึ้นเต็มดวงแล้ว เราก็จะสามารถหาทางกลับบ้านได้ ” เศษก้อนหินที่ฮันเซลได้แอบโยนทิ้งทำทางขากลับเอาไว้เมื่อตอนกลางวัน นั้น เมื่อต้องแสงของพระจันทร์ก็ทำให้เกิดเป็นแสงเรือง ๆสะท้อน ให้เห็นเป็นทาง สองพี่น้องจูงมือกันออกเดิน เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง เด็กทั้งสองก็มาถึงกระท่อม ผู้เป็นแม่เลี้ยงค่อนข้างจะขัดเคืองใจ เมื่อเห็นเด็กทั้งสองกลับมาเป็นอย่างมาก


” เด็กสองคนหาทางกลับมาได้อย่างไร?…วันนั้นทั้งสองทำอะไร ที่เป็นที่น่าสงสัยอะไรหรือเปล่า?? ” พ่อจึงพูดว่า ” ถ้าจะมีก็เพียงแต่ฮันเซลจะเดินและหัน หลังไปดูเศษก้อนหินหลายครั้งเท่านั้นเอง ” แม่เลี้ยงเมื่อได้ฟังดังนั้น” นั่นแหละ ! ฉันรู้แล้ว..ก้อนหินพวกนั้นแหละเป็นเครื่องหมายแสดงทางขากลับมาบ้านได้”


แม่เลี้ยงได้สั่งให้พ่อเอาฆ้อน และตะปูไปตอกติดปิดห้องของเด็กทั้งสองเอาไว้ เพื่อไม่ให้ฮันเซลมีโอกาสได้ออกไปหาเก็บเศษก้อนหินมาเตรียมเอาไว้ ได้อีกอย่างครั้งแรก…” พรุ่งนี้จะต้องทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน ” และสิ่งนี้เกรเทลก็แอบได้ยินที่นางพูด ” คราวต่อไปเราคงจะไม่มีทางกลับมา ที่นี่ได้อีกอย่างแน่นอน ” ” ไม่ต้องกลัวสิ…พระเจ้าจะต้องช่วยเหลือเรา” ฮันเซลกล่าว


ในวันรุ่งขึ้นแม่เลี้ยงหักขนมปังแบ่งออกเป็นสองชิ้นแล้วยื่นให้เด็กทั้ง สองคนละชิ้น ก่อนที่จะพาพวกเขาเข้ามาที่ในป่าลึก ฮันเซลรับขนมปังมาและบี่ให้แตกเป็น ชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นเขาก็แอบทิ้งเศษขนมปังไว้ตามทาง “ฮันเซลทำไม เจ้า ถึงได้หันไปมองที่ด้านหลัง ” ฮันเซล ได้ตอบว่า “ก็มันมีนกตามพวกเรามานี่”


เหล่านกกาพากันจิกกินเศษขนมปังที่ฮันเซลแอบหย่อนทิ้งทำทางไว้ จนหมดสิ้นไม่มีหลงเหลือ..เขาทั้งสองได้สิ้นแล้ว
ซึ่งเส้นทางขากลับ… แม่เลี้ยงกับพ่อได้หนีกลับไปอีกตามเคยเมื่อพาพวกเขามาถึงที่ข้างในป่าลึก ฮันเซลกับเกรเทลออกเดินไปเรื่อย ๆ ข้างในป่าอย่างไร้จุดหมายปลายทาง.. ในที่สุดพวกเขาก็มีอันต้องหลงทางเสียแล้วสิ…


ขณะที่สองพี่น้องกำลังเหน็ดเหนื่อย และใกล้จะสิ้นหวัง ในเวลานั้นได้มีกลิ่นที่หอมหวานลอยมา ทั้งสองพบ บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งพวกเขาไม่เคยพบเห็นบ้านเหมือนอย่างนี้มาก่อนเลย ผนังของบ้านทำด้วยขนมเค้ก หน้าต่างทำด้วยลูกกวาดเป็นบ้านที่น่าอร่อย เหลือเกิน พวกเขาเดินย่องเข้าไปที่ใกล้ ๆ แล้วหักกินส่วนที่เป็นหลังคา ในทันทีนั้นฉับพลันก็ได้มีเสียงหนึ่งดังออกมาว่า ” นี่..ใครมาแอบกินบ้านของข้า ?”


เจ้าของเสียงเป็นยายแม่มดแก่ที่ตาบอดมองไม่เห็น ออกมาปรากฏตัว และตรงเข้ามาจับเด็กทั้งสองไว้ทันที
” เหอ ๆๆเด็ก ๆ ที่น่าอร่อยนั่นเอง โทษฐานที่ พวกเจ้ามาแอบโขมยกินบ้านของข้า จะต้องโดนข้ากิน เข้าใจไหม?? ” ยายแม่มดได้จับฮันเซลขังไว้ในกรง และสั่งเกรเทลว่า ” ส่วนแกไปจัดการเตรียม อาหารมาให้พี่ของแกกินเข้าไปมากๆ ”


ด้วยนางแม่มดเห็นว่าฮันเซลนั้นมีร่างกายที่ผ่ายผอมมากนางจึงคิดที่จะ ทำให้เขาอ้วนขึ้นมาเสียก่อนแล้วค่อยกินทีหลังนั่นเอง ในวันหนึ่งนางได้สั่งฮันเซลว่า ” ไหนยื่นนิ้วของจ้าออกมาหน่อย ฉันจะจับดูว่าเจ้าอ้วนขึ้นหรือยัง ?” ฮันเซลยื่นกระดูกชิ้นหนึ่งซึ่ง เขาได้แอบซ่อนเอาไว้ออกมาให้นางจับ


” ทำไมเจ้าถึงได้ผอมมีแต่กระดูก..อย่างนี้เล่า?? เร็ว!..เอาอาหารมาให้พี่ ของแกกินเข้าไปอีกเยอะๆ ” ฮันเซลจำต้องกินอาหารมากขึ้นไปมากกว่าเก่าหลายเท่า เลยทีเดียว และในทุก ๆ วันก็จะเป็นอย่างนี้เรื่อยมา.. และไม่ว่านางจะมาตรวจสอบกี่ครั้ง ๆ ฮันเซลก็ยังจะยื่นกระดูกให้นางจับอยู่อย่างเดิม
” ทำไมแกถึงไม่ยอมอ้วนล่ะ?”


” ข้าหิวจนไม่สามารถที่จะทนได้อีกต่อไป..” ในที่สุด นางก็หมดความอดทน ” ฉันจะไม่รอนานกว่านี้อีกแล้ว เกรเทลแกไปจัดการเตรียมกระทะแล้วต้มน้ำให้เดือด” เกรเทลตั้งกระทะใบใหญ่และเริ่มต้มน้ำตามคำสั่งของนาง แต่ด้วยนางแม่มด นั้นเกิดความหิวกระหายจนทนไม่ไหวเสียแล้ว นางจึงเปลี่ยนความคิดว่าจะกินเกรเทลเสียก่อนแก้หิว ” เกรเทลแกไปเปิดฝาเตาอบให้ข้าทีสิ คิดว่าเวลานี้มันคงจะร้อนพอแล้ว”นางแม่มดสั่ง

” ยื่นศรีษะของเจ้าเข้าไปดู แล้วบอกข้าหน่อย ”
เกรเทลจึง ยื่นศรีษะเข้าไป และแม้ว่ามันจะเริ่มร้อนขึ้นมามากแล้ว ” มันยังไม่ร้อนเลย ” เธอบอกโกหก ” เจ้ากำลังเล่นตลกกับข้าน่ะสิ ” นางแม่มดว่า
” ไม่เชื่อ ท่านก็ดูเองสิ ”
เกรเทลเถียง เมื่อนางแม่มดเปิดฝาเตาอบเกรเทลก็รีบ ผลักนางโดยแรง หญิงชราจึงคะมำหัวทิ่มเข้าไปในเตาอบ เกรเทลรีบปิดฝาเตาอบ และใส่กลอนทันที ” ว๊าย”


จากนั้นเกรเทลก็วิ่งไปที่กรงขัง และปล่อยฮันเซลออกมา สองพี่น้องกอดกันแน่น แล้วทั้งสองก็สำรวจไปทั่วบ้าน และพบว่าตามลิ้นชักเต็มไปด้วยเหรียญทองคำ สองพี่น้อง จึงช่วยกันโกยใส่กระเป๋าจนเต็ม แล้วตัดสินใจว่าจะค้นหาทางกลับบ้าน ฮันเซลกับ


เกรเทลเดินฝ่าไปในป่าตลอดทั้งวัน กระทั่งเมื่อตะวันลับฟ้า ทั้งสองก็มองเห็นกระท่อมของตน สองพี่น้องก็ออกวิ่งตรงไปยังบ้านน้อย หลังนั้น พ่อได้บอกว่าแม่เลี้ยงใจร้ายเสียชีวิตไปแล้ว ทั้งสามคนพ่อลูกต่าง ก็มีความสุขมากที่ได้พบหน้ากันอีกครั้ง จากนั้น พวกเขาก็คิดที่จะไปเก็บ เหรียญทองคำ ซึ่งมีจำนวนมากเกินพอที่จะทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่อย่าง สะดวกสุขสบายไปตลอดชีวิต